วิตามินซีกับประโยชน์ดี เพียงแค่กินอย่างถูกต้อง

วิตามินซีกับประโยชน์ดี เพียงแค่กินอย่างถูกต้อง

เชื่อว่าในบรรดาวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย ไม่มีใครไม่รู้จักวิตามินซี เพราะเป็นวิตามินที่เราได้ยินและคุ้นเคยกับชื่อนี้ตั้งแต่เด็ก อย่างที่เรารู้กันคร่าว ๆ ว่าเป็นวิตามินที่สำคัญต่อร่างกายเป็นอันดับต้น ๆ เพราะมีส่วนช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เพิ่มภูมิต้านทานและป้องกันโรคหวัด แต่นอกจากนั้นแล้ววิตามินซียังมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าที่คิด วันนี้เราจะนำความรู้เกี่ยวกับวิตามินซีมาแบ่งปันเพื่อให้ทุกคนได้รับประโยชน์สูงสุด โดยไม่เกิดผลข้างเคียงหรืออันตรายต่อร่างกาย

ตั้งแต่ปริมาณที่เราควรได้รับในแต่ละวัน แหล่งที่มาของวิตามินซีที่ควรเลือก และวิธีการรับประทานวิตามินซีที่ถูกวิธีเพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด

วิตามินซีคืออะไร

วิตามินซีหรือกรดแอสคอร์บิก (ascorbic acid) ถูกระบุว่าค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1912 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีความจำเป็นต่อร่างกายซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ พบได้ในอาหารที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว ส้ม มะขามป้อม ฝรั่ง และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่นเบอร์รี่ มะเขือเทศ หรือจากพืชบางชนิดเช่น บรอกโคลี คะน้า เป็นต้น

ประโยชน์ของวิตามินซี

  1. ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง ไม่ป่วยหรือเป็นหวัดง่าย
  2. เพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก ช่วยในการสังเคราะห์คาร์นิทีนและสารสื่อประสาทหลายชนิด มีบทบาทต่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงกรดอะมิโนและคาร์โบไฮเดรตของร่างกาย
  3. เสริมสร้างคอลลาเจน ชะลอความเสื่อมของผิว
  4. ซ่อมแซมเนื้อเยื่อและผลิตสารสื่อประสาทบางอย่าง
  5. ต้านอนุมูลอิสระ
  6. กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต
  7. เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคลอเลสเตอรอลในร่างกาย
  8. ทำให้กระดูก เหงือกและฟันแข็งแรง

แหล่งที่มาของวิตามินซี

ในสมัยก่อนเราอาจพบเจอวิตามินซีได้จากแหล่งเดียว คือตามธรรมชาติ ไม่ว่าจากพืช ผัก หรือผลไม้ แต่ในปัจจุบันมนุษย์สามารถสังเคราะห์วิตามินซีออกมาในรูปแบบของวิตามินเสริมได้สำเร็จ เราจึงกล่าวได้ว่าในปัจจุบันสามารถแบ่งวิตามินซีออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้

1. วิตามินซีจากแหล่งธรรมชาติโดยตรงซึ่งเป็นแหล่งวิตามินตามธรรมชาติที่ดีที่สุด ได้จากพืช ผัก ผลไม้ โดยผักผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูงสุดเมื่อเทียบกับน้ำหนัก 100 กรัมสามารถเรียงลำดับได้ดังนี้ อันดับที่ 1 คือมะขามป้อมให้วิตามินซี 276 มิลลิกรัม, อันดับที่ 2 คือฝรั่ง ให้วิตามินซี 160 มิลลิกรัม และอันดับที่ 3 คือผักคะน้า ให้วิตามินซี 147 มิลลิกรัม

2. กลุ่มสารสกัดวิตามินซีโดยทั่วไปจะมีปริมาณวิตามินซีอยู่ที่ 500 – 1,000 มิลลิกรัม ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของเม็ดซึ่งมีทั้งแบบอม แบบเม็ดเคี้ยว แบบเม็ดฟู่ แบบแคปซูล ซึ่งในกลุ่มนี้ก็สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยตามแหล่งที่มาได้ดังนี้

2.1 กลุ่มวิตามินที่สกัดจากผักผลไม้ธรรมชาติเช่น ส้ม มะนาว อะเซโรล่าเชอร์รี่ ซึ่งให้คุณภาพของวิตามินซีที่ดี และมักจะประกอบด้วยสารอาหารและแร่ธาตุอื่น ๆ ด้วย เช่น ไบโอฟลาโวนอยด์ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวิตามินซี ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินซีได้ดี ไม่ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร แต่มีราคาค่อนข้างสูง

2.2 กลุ่มวิตามินที่สังเคราะห์ขึ้นมาในห้องแล็ปด้วยขบวนการทางเคมี ดูดซึมได้น้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกลุ่มที่สกัดจากผักและผลไม้ธรรมชาติ แต่ราคาไม่สูงมาก ส่วนผสมมักจะประกอบด้วยวิตามินซีเป็นหลัก อาจทำให้ระคายเคืองกับระบบทางเดินอาหาร ทำลายสารเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุได้ง่าย

ปริมาณความต้องการวิตามินซีที่แนะนำต่อวัน     

1. ในทางชะลอวัย เราควรได้รับวิตามินซีวันละ 1,000 มิลลิกรัม/วัน เพื่อช่วยในเรื่องการสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย และเพื่อช่วยในเรื่องการเสริมสร้างคอลลาเจน สร้างความสดใสเต่งตึงของผิวพรรณ

2. ในทางบำรุงร่างกายเพื่อช่วยในเรื่องการรักษาโรคหวัดหรือภูมิแพ้ ควรทานวิตามินซี 2,000 มิลลิกรัม/วัน

การกินวิตามินซีที่ถูกต้องและปลอดภัยนั้น เราควรได้รับวิตามินซีจากแหล่งที่หลากหลาย และควรได้จากการบริโภคพืชผักผลไม้ตามธรรมชาติเป็นหลัก โดยอาจเลือกรับประทานวิตามินซีในรูปแบบสารสกัดเพิ่มเพื่อให้ได้รับวิตามินซีครบถ้วนในแต่ละวัน และไม่ควรรับประทานเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวันเพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกายได้

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top