เพิ่มพลังชีวิตด้วยวิธีคิดบวก ไม่ต้องพบจิตแพทย์ก็มีความสุขขึ้นได้
พลังแห่งความคิดบวกทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ เหตุการณ์เดียวกัน คนคิดบวกกับคนคิดลบ จะมีวิธีความคิดที่ต่างกัน คนคิดบวกจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆได้ดี ความคิดบวกเป็นสิ่งที่ฝึกฝนได้และไม่ได้ส่งผลดีทางด้านสุขภาพจิตใจเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายภายนอกอีกด้วย มาดูกันว่าพลังของความคิดบวกนั้นส่งผลต่อกายและใจอย่างไรบ้าง
พลังแห่งความคิดบวกดีต่อใจ และดีต่อกายอย่างไร?
“ยิ้มได้ ก็หายเครียด” คำนี้เป็นจริงอย่างที่สุด การคิดบวกส่งผลดีต่อด้านจิตใจ ลดภาวะความเครียด อีกทั้งยังส่งผลดีกับร่างกายอย่างคาดไม่ถึง มาดูข้อดีของการเป็นคนคิดบวกกันเถอะ
1.สามารถจัดการกับความเครียดได้ดี
เนื่องจากจะรักษาควบคุมระดับฮอร์โมนความเครียด ที่ชื่อว่า คอร์ติซอล (Cortisol) ให้อยู่ในระดับต่ำได้ดีกว่าส่วนผู้ที่มักมองโลกในแง่ร้ายเมื่อเจอกับสถานการณ์ที่ตึงเครียด จะมีระดับฮอร์โมนความเครียดที่สูงกว่า
2.ช่วยต้านสภาวะซึมเศร้า
การคิดบวกทำให้จิตใจร่าเริง ไม่ขุ่นมัว การคิดบวกสอนให้มองโลกได้หลายด้าน ไม่จมอยู่กับตัวเอง
3.ลดความกังวล เพิ่มพลังให้ชีวิต
สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ คำกล่าวนี้มักจะเอ่ยจากคนที่คิดบวก การคิดบวกจะเป็นพลังขับเคลื่อนในการก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่เสียใจอยู่กับอดีตหรือกังวลกับอนาคตที่ยังไม่เกิด
4.ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นปกติ
ความคิดบวกนั้นส่งผลทำให้ระบบการทำงานของร่างกายไม่ว่าจะเป็นระบบความดันโลหิต ระบบการย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย เป็นไปอย่างปกติ กินอิ่มนอนหลับ ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดี ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายดีขึ้น ไม่เจ็บป่วยง่าย
5.ดูอ่อนกว่าวัย
จากการศึกษาพบว่าในกลุ่มผู้ใหญ่วัยกลางคนที่เป็นคนคิดบวก จะมีความเข้มข้นของสารแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในระดับที่สูงกว่าคนวัยเดียวกันที่อาจไม่ได้คิดบวกเท่ากับกลุ่มแรก 3-13%
พลังจากการคิดบวกนั้นนอกจากจะดีต่อระบบการทำงานของร่างกายแล้ว ที่สำคัญยังดีต่อสภาพจิตใจ โดยสามารถป้องกันโรคเครียดและโรคซึมเศร้าได้ การสร้างพลังบวกให้กับตัวเองนั้นไม่ยาก ตามมาดูกันว่าเทคนิคการสร้างพลังบวกให้ตัวเองนั้นต้องทำอย่างไร
7 วิธีให้คุณมีความสุขได้จากพลังบวกด้วยตนเอง
การคิดบวกเป็นนิสัยที่สร้างขึ้นเองได้ วันนี้เราจะมาบอก 7 เคล็ดลับเพื่อฝึกให้ตนเองเป็นคนคิดบวกที่จะเปลี่ยนคุณเป็นคนที่มีความสุขโดยไม่ต้องพึ่งใคร
1.ฝึกตนเองให้คิดบวกอยู่เสมอ
เหรียญยังมีสองด้าน พยายามมองหาข้อดีในเรื่องร้ายที่เกิดด้วยมุมมองที่แตกต่าง เช่นเมื่อเราทำเสื้อโค้ทตัวเก่งหาย ก็ให้คิดในแง่ดีว่า ถ้าเสื้อโค้ทของเราไม่หาย เราก็คงทนใส่ไปเรื่อย ๆ ไม่มีโอกาสได้เปลี่ยนตัวใหม่ที่เราเคยหมายตาไว้สักที เป็นต้น
2.อยู่ใกล้คนคิดบวก
พลังบวกส่งผ่านถึงกันได้ การอยู่ใกล้คนคิดบวกทำให้เราเรียนรู้วิธีการคิดของเขา และคนคิดบวกมักจะมีมุมมองความคิดที่ดี ทำให้อยู่ด้วยแล้วสบายใจ
3.ชื่นชมสิ่งรอบตัวแม้เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
สุขง่ายได้เปรียบ หัดชื่นชมสิ่งดีงามเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบตัว เช่น ชื่นชมดอกไม้ข้างทางที่สวยงามตามแบบของมัน ต้นไม้แตกหน่อที่แสดงถึงความขอบคุณต่อผืนดินถึงการมีชีวิตของสิ่งรอบตัว
4.คิดถึงคนที่ลำบากกว่าเรา
เวลาที่เราท้อแท้ คิดว่าชีวิตมันแย่ ให้ลองคิดถึงคนที่ลำบากกว่า เช่น เวลาที่รถติด ทำให้เราหงุดหงิดให้คิดถึงคนที่อยู่ในประเทศที่มีแต่สงคราม โดยเทคนิคคือเมื่อเราคิดว่าปัญหาของเรามันใหญ่ ให้เราคิดถึงคนที่เผชิญปัญหาที่ใหญ่กว่าแต่เขายังผ่านมันไปได้ เราจะมองว่าปัญหาของเราเล็กลงทันที
5.ช่วยเหลือผู้อื่น
การทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นการช่วยเติมเต็มคุณค่าในชีวิต ทำให้รู้สึกถึงคุณค่าของตัวเอง เช่น การช่วยคนแก่ข้ามถนน การเป็นอาสาสมัครโครงการเก็บขยะ ซึ่งล้วนแต่เป็นการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนและจะทำให้ใจเป็นสุขเสมอ
6.ทบทวนสิ่งดี ๆ ในชีวิต
คนเรามักให้ความสำคัญกับความทุกข์ มองความเสียใจ ผิดหวังเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อใจโฟกัสแต่ตรงนั้นก็ไม่มีความสุข เทคนิคคือลองหยิบสมุดขึ้นมาจดทบทวนสิ่งดี ๆ ในชีวิตที่เคยเกิดขึ้นที่ทำให้คุณรู้สึกดี ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่โต แต่ขอให้คุณมีความรู้สึกดี มีความสุขก็พอ เช่นความรู้สึกประทับใจในตอนเด็กที่แม่ซื้อตุ๊กตาสวย ๆ มาให้เป็นของขวัญวันเกิด จะทำให้คุณรู้สึกว่าชีวิตของคุณไม่ได้มีแต่เรื่องแย่ ๆ เสมอไป
7.ยิ้มหัวเราะและหาความสุขให้กับชีวิต
ยิ้มหัวเราะกับเรื่องง่าย ๆ หาความสุขที่เรียบง่ายให้ชีวิต ยิ่งเราหัวเราะบ่อย ๆ ร่างกายจะหลั่งสารแห่งความสุขที่ชื่อว่าเอ็นโดรฟิน (Endorphin) ทำให้ร่างกายเป็นสุข ห่างไกลความเครียด
เมื่อรู้ถึงประโยชน์มากมายจากพลังของการคิดบวก ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย และโดยเฉพาะด้านจิตใจ ถ้าไม่อยากพึ่งจิตแพทย์ ลองถามตัวเองในวันนี้ ว่าคุณคิดบวกแล้วหรือยัง?