วิธีการสังเกตอาการป่วย เพื่อแจ้งเภสัชกรให้ได้ยารักษาที่ถูกต้อง
อาการป่วยเป็นอาการผิดปกติของร่างกาย ที่บ่งบอกว่ามีโรคหรือความเจ็บป่วยเกิดขึ้น อาการป่วยสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกส่วนของร่างกาย และสามารถมีอาการได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ปวด บวม แดง ร้อน ชา อ่อนแรง เหนื่อยล้า ไอ จาม มีน้ำมูก ท้องเสีย ท้องผูก เป็นต้น อาการป่วยยังสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อ ภาวะขาดสารอาหาร ภาวะอักเสบ โรคประจำตัว เป็นต้น ซึ่งอาการป่วยบางโรคอาจหายไปเองได้ภายในระยะเวลาหนึ่ง แต่บางโรคอาจรุนแรงและจำเป็นที่จะต้องเข้ารับการรักษาจากแพทย์เท่านั้น
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรากำลังมีอาการป่วย
อาการป่วยนั้นจะทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่สบายตัว ซึ่งต้องใช้ทักษะในการสังเกตเพื่อที่จะสามารถระบุอาการได้ชัดเจน เพื่อนำไปแจ้งต่อแพทย์ หรือเภสัชกรร้านขายยา และสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่า เรากำลังมีอาการป่วยที่จำเป็นต้องได้รับยารักษา คือ
1. มีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายอย่างกะทันหัน เช่น ปวดศีรษะรุนแรง หายใจลำบาก หน้ามืดเป็นลม ท้องเสียมาก อาเจียนมาก เป็นต้น
2. มีอาการผิดปกติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น ปวดข้อ ปวดหลัง ปวดท้อง อ่อนเพลียเรื้อรัง เป็นต้น
3. มีอาการผิดปกติเกิดขึ้นบ่อย ๆ เช่น เป็นหวัดบ่อย ไอบ่อย ท้องเสียบ่อย เป็นต้น
4. มีอาการผิดปกติที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ปวดหัวมากขึ้น ไอมากขึ้น ท้องเสียมากขึ้น เป็นต้น
หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นตามสัญญาณเตือนข้างต้นนี้ ก็ควรรีบไปพบแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อตรวจวินิจฉัยอาการและรับการรักษาที่เหมาะสม
7 ข้อแนะนำ เพื่อแจ้งอาการป่วยเภสัชกร ให้ได้รับยาที่ตรงกับโรค
สำหรับการแจ้งข้อมูลอาการป่วยกับเภสัชกรนั้น ถือเป็นพฤติกรรมเบื้องต้นที่ต้องใส่ใจในรายละเอียดเป็นอย่างที่สุด เพราะถ้าไม่ใส่ใจในสุขภาพของตนเองแล้ว ใครก็ไม่มีทางรู้ว่าเรากำลังป่วยด้วยโรคอะไร ซึ่งสามารถใช้ 7 ข้อแนะนำเหล่านี้เพื่อบันทึกอาการป่วยตนเอง ก่อนไปพบแพทย์หรือเภสัชกรได้
1. ระบุอาการเจ็บป่วย ให้ระบุอย่างชัดเจนว่ามีอาการอะไร มีอาการมานานเท่าไร อาการเป็นอย่างไร มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยหรือไม่ เช่น ปวดศีรษะ ปวดฟัน ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก คัดจมูก ไอ จาม แพ้อากาศ เป็นต้น
2. ระบุลักษณะของอาการ เช่น ปวดศีรษะเป็นแบบปวดตื้อ ๆ ปวดตุบ ๆ หรือปวดแบบบีบ ๆ ท้องเสียเป็นแบบถ่ายเหลว ถ่ายบ่อย หรือถ่ายมูกปนเลือด หรือไอแห้ง ๆ ไอมีเสมหะ แพ้อากาศเป็นแบบคัดจมูก จาม น้ำมูกไหล หรือคันตา เป็นต้น
3. ระบุปัจจัยที่กระตุ้นหรือทำให้อาการแย่ลง เช่น อาการปวดศีรษะแย่ลงเวลาอยู่กลางแดดหรืออยู่ในที่ร้อน อาการปวดฟันแย่ลงเวลาเคี้ยวอาหาร อาการปวดท้องแย่ลงหลังกินอาหาร เป็นต้น
4. ระบุปัจจัยที่ทำให้อาการดีขึ้น เช่น อาการปวดศีรษะดีขึ้นหลังจากกินยาแก้ปวด อาการท้องเสียดีขึ้นหลังจากกินยาแก้ท้องเสีย อาการคัดจมูกดีขึ้นหลังจากใช้น้ำเกลือล้างจมูก อาการไอดีขึ้นเวลาอยู่ในสถานที่อุ่น ๆ เป็นต้น
5. ระบุประวัติทางการแพทย์ เช่น เคยมีโรคประจำตัวหรือไม่ เคยแพ้ยาอะไรหรือไม่ เคยได้รับการรักษาบริเวณที่เจ็บป่วยหรือไม่
6. ระบุการใช้ยา เช่น กำลังกินยาอะไรอยู่บ้าง กินยาอะไรเป็นประจำหรือไม่
7. ระบุข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรหรือไม่ ดื่มสุราหรือสูบบุหรี่หรือไม่
การแจ้งอาการป่วยอย่างละเอียดที่สุด จะช่วยให้เภสัชกรสามารถจ่ายยาได้ถูกต้อง ตรงกับโรค รักษาได้ไว และทำให้สามารถระบุประเภทของโรคได้อย่างแม่นยำ แต่ทั้งนี้ หากได้รับยาและกินจนครบระยะเวลา 7-14 วัน แล้วอาการยังไม่หาย หรือไม่ดีขึ้น ให้รีบไปแพทย์เพื่อตรวจรักษาอาการโดยด่วน เพื่อให้สามารถระบุโรคได้ชัดเจน และใช้วิธีรักษาโดยไม่ให้โรคนั้นลุกลามมากขึ้น